
ทุกภาคของ Mission: Impossible ต่างมีโลเกชันที่ทำให้ผู้ชมตื่นตา แต่ในภาค The Final Reckoning (2025) ผู้กำกับ Christopher McQuarrie ยกระดับขึ้นอีกขั้น ด้วยการพาทีมงานไปถ่ายทำในสถานที่จริงทั่วโลกกว่า 7 ประเทศ
จากภูเขาสูงในนอร์เวย์ ไปจนถึงตรอกโบราณของเวนิส ทุกแห่งมีเรื่องราวเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา
🏔️ นอร์เวย์ – ฉาก “กระโดดเหวในตำนาน”
ฉากที่ Tom Cruise ขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งลงจากหน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร ถูกถ่ายทำจริงที่ Helsetkopen, Norway
ทีมงานใช้เวลาซ้อมกว่า 500 ครั้งก่อนถ่ายจริง โดยมีเฮลิคอปเตอร์หลายลำคอยเก็บภาพจากมุมสูง
“มันคือสตันท์ที่อันตรายที่สุดในชีวิตของผม” – Tom Cruise
🕍 เวนิส – เมืองแห่งเงาและภารกิจลับ
ฉากไล่ล่ากลางคืนในตรอกแคบของเวนิสถูกถ่ายทำในเขต Campo San Barnaba และ Ponte dei Sospiri
ทีมงานต้องปิดถนนทั้งย่านเพื่อถ่ายทำโดยใช้กล้อง Steadicam หลายตัวพร้อมกัน
โลเกชันนี้ให้บรรยากาศคลาสสิกปนหลอน — สะท้อนความรู้สึก “ทุกคนคือเป้าหมาย” ของ Ethan Hunt
🚄 สวิตเซอร์แลนด์ – ฉากรถไฟพังสุดระทึก
ฉากไคลแมกซ์ที่รถไฟหลุดออกจากรางและตกลงสู่หุบเหว ถูกถ่ายจริงในพื้นที่ Grindelwald ทางตอนกลางของสวิตเซอร์แลนด์
ทีมงานสร้างรถไฟจำลองขนาดเท่าของจริงและปล่อยตกจากสะพานเหล็กสูง 200 ฟุต
“ไม่มี CGI แทนได้ เราทำของจริงทั้งหมด” – Christopher McQuarrie
🌍 โลเกชันอื่นที่ถูกใช้ในหนัง
-
อาบูดาบี – ฉากเครื่องบินและฐานลับในทะเลทราย
-
ลอนดอน – ฉากเปิดภาคที่ใช้จริงบริเวณ Westminster และ Trafalgar Square
-
อิตาลีตอนเหนือ – ฉากไล่ล่าทางรถยนต์ในเส้นทางโบราณของเมือง Rome
🎬 สรุป
โลเกชันทั้งหมดใน Mission: Impossible – The Final Reckoning (2025) ไม่ได้เป็นเพียงฉากหลัง
แต่คือ “ตัวละคร” ที่มีชีวิต และเป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่า Tom Cruise และทีมงานพร้อมจะเสี่ยงทุกอย่างเพื่อให้ผู้ชมเชื่อว่า “ทุกภารกิจเกิดขึ้นจริง”
